• Home
  • About Us
    • About Us
    • Subscribe
    • Privacy Policy
  • Advertise
    • Advertise On IP Watch
    • Editorial Calendar
  • Videos
  • Links
  • Help

Intellectual Property Watch

Original news and analysis on international IP policy

  • Copyright
  • Patents
  • Trademarks
  • Opinions
  • People News
  • Venues
    • Bilateral/Regional Negotiations
    • ITU/ICANN
    • United Nations – other
    • WHO
    • WIPO
    • WTO/TRIPS
    • Africa
    • Asia/Pacific
    • Europe
    • Latin America/Caribbean
    • North America
  • Themes
    • Access to Knowledge/ Open Innovation & Science
    • Food Security/ Agriculture/ Genetic Resources
    • Finance
    • Health & IP
    • Human Rights
    • Internet Governance/ Digital Economy/ Cyberspace
    • Lobbying
    • Technical Cooperation/ Technology Transfer
  • Health Policy Watch

ห้าปีหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาอินเดียกรณีโนวาร์ทิส

10/08/2018 by Intellectual Property Watch, Intellectual Property Watch Leave a Comment

Share this:

  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window)
  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to email this to a friend (Opens in new window)
  • Click to print (Opens in new window)

[View the original English version here.]

20 พ.ค. 2561 โดย พาทราเล็กคา แชทเทอร์จี สำหรับ Intellectual Property Watch

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2013 ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนภายในศาลฎีกาของอินเดีย อันเป็นอาคารสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมอินโดบริติช ผู้พิพากษาสองท่านได้อ่านคำพิพากษาซึ่งจะได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิบัตรและผู้ป่วยทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

ศาลสูงสุดของอินเดียแห่งนี้ได้อ่านคำพิพากษาสำคัญยิ่ง 112 หน้ายกอุทธรณ์ของโนวาร์ทิส เอจีบริษัทยายักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ขอสิทธิบัตรให้กับยารักษามะเร็งที่สำคัญต่อชีวิตซึ่งวางตลาดภายใต้ชื่อกลิเวค (Glivec) ในประเทศส่วนใหญ่ที่วางขาย

กรณีโนวาร์ทิสนี้ได้ก่อให้เกิดการโต้เถียงที่แยกเป็นสองขั้วทั่วโลกเกี่ยวกับใจความสำคัญหนึ่งในบทบัญญัติกฎหมายสิทธิบัตรของอินเดียซึ่งคือมาตรา 3 (ง)

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2007 กลุ่มผู้รณรงค์ให้มีการเข้าถึงการรักษาและผู้ป่วยเอชไอวีชุมนุมในเมืองเดลี เพื่อเรียกร้องให้โนวาร์ทิสถอนคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 3 (ง)

มาตรา 3 (ง) ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตรของอินเดียบัญญัติว่า

“เพียงการค้นพบรูปแบบใหม่ของสารที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งมิได้เป็นผลในการเสริมประสิทธิภาพที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วของสารนั้น หรือเพียงการค้นพบคุณสมบัติใหม่ หรือการใช้แบบใหม่ของสารที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว หรือการค้นพบเพียงการใช้กระบวนการ เครื่องจักรหรือเครื่องมือที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว เว้นแต่กระบวนการที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วนั้นเป็นผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือใช้สารที่เปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาอย่างน้อยหนึ่งตัว”

โนวาร์ทิสต่อสู้อย่างยาวนานและขมขื่นเป็นเวลาหลายปี โดยจ้างทนายความที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอินเดีย แต่ในท้ายที่สุด ศาลฎีกาของอินเดียก็ปฏิเสธฏีกาของบริษัทนี้ที่ขอสิทธิบัตรให้แก่ยา imatinib mesylate (กลิเวค) ซึ่งใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง

ลีนา เมนกานีย์ หัวหน้ารณรงค์การเข้าถึงยาในเอเชียใต้ขององค์กรแพทย์ไร้พรมแดนกล่าวว่าทั่วโลกได้ตระหนักมากขึ้นว่าอุตสาหกรรมผลิตยาได้ใช้ระบบสิทธิบัตรไปในทางที่ผิด เพื่อปิดกั้นการแข่งขันที่จะทำให้ราคายาถูกลง

“ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 72) ของสิทธิบัตรยาที่ได้รับอนุมัติเป็นสิทธิบัตรทุติยภูมิ (secondary patent) ที่ออกให้กับการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยแก่ยาที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งยานั้นก็ยังมีสิทธิบัตรปฐมภูมิ (primary patent) อยู่” เธอกล่าวกับ Intellectual Property Watch

ผลกระทบภายในประเทศ

ในอินเดีย องค์กรภาคประชาสังคมสำคัญสองแห่งที่ร่วมอยู่ในศาลฎีกาเกือบตลอดระยะเวลาของการต่อสู้คดีคือ เครือข่ายผู้ป่วยเอชไอวีเดลี (DNP+) และสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง

ลูน แกงเต นักเคลื่อนไหวชาวอินเดียผู้ป่วยด้วยเอชไอวี และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในเอเชียใต้ขององค์กร International Treatment Preparedness Coalition (ITPC) และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง DNP+ กล่าวว่า “คำพิพากษาของศาลฎีกาอินเดียในกรณีของมาตรา 3 (ง) ในคดีโนวาร์ทิสอันโด่งดังได้สร้างกรณีตัวอย่าง และได้ช่วยพวกเราในการรณรงค์การเข้าถึงยาที่ไม่แพง”

วาย. เค. สาปรู หัวหน้าของสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งซึ่งสู้คดีกับโนวาร์ทิสก็กล่าวในลักษณะคล้ายกัน  “ผลจากคำพิพากษาของศาลฎีกาในปี 2013 ทำให้ราคาของกลิเวคลดลงจาก 150,000 รูปี (ประมาณ 2,200 เหรียญสหรัฐ) สำหรับการรักษาหนึ่งเดือน เหลือ 6,000 รูปี (ประมาณ 88 เหรียญสหรัฐ) ในตลาดยาสามัญ” และเสริมว่า “ราคาที่ลดลงอย่างมากของกลิเวคในรูปยาสามัญได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังประมาณ 500,000 คนในห้าปีที่ผ่านมา” ​

รายงานการศึกษาที่เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2017 ได้วิเคราะห์คำขอสิทธิบัตรที่ถูกปฏิเสธโดยสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา และชี้ให้เห็นว่ามีการปฏิเสธคำขอมากขึ้นจากตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีโนวาร์ทิสนี้  รายงานการศึกษานี้เขียนโดยดร.เฟอร์รอซ อาลี ดร.สุดาร์ซาน ราชาโกปาล โมฮัมเมด มุสตาฟา และชินนาสามิ ปราภู

ปัญหายังมีอยู่

อย่างไรก็ตาม รายงานการศึกษาชิ้นต่อมาโดยนักวิจัยกลุ่มเดียวกันนี้ซึ่งศึกษาการออกสิทธิบัตรโดยสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาพบว่ายังไม่มีการใช้มาตรา 3 (ง) อย่างมีประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการให้สิทธิบัตรทุติยภูมิ  รายงานการศึกษาชิ้นหลังนี้เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2018 มีชื่อว่าการออกสิทธิบัตรยาในอินเดีย : เหตุใดมาตรการป้องกันสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุ (evergreening) ของเราจึงล้มเหลว และเหตุที่ระบบของเราต้องได้รับการปฏิรูป ได้วิเคราะห์ปัญหาที่ไม่มีการใช้มาตรา 3 (ง) มากเท่าที่ควรแม้จะมีคำพิพากษาสำคัญยิ่งของศาลฎีกานั้นแล้วก็ตาม

เฟอร์รอซ อาลี หัวหน้าศาสตราจารย์สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสถาบันเทคโนโลยีของอินเดียในเมืองมัทราส และเป็นนักรณรงค์ที่เกี่ยวข้องกับรายงานทั้งสองฉบับนั้นกล่าวกับ Intellectual Property Watch ว่ารายงานนั้นได้เสนอแนะให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ และกำหนดเป็นขั้นตอนให้ผู้พิจารณาคำขอสิทธิบัตรทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง

อนันต์ โกรเวอร์ นักกฎหมายอินเดียชั้นนำซึ่งเป็นทนายความของสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และได้ชนะคดีในการต่อสู้กับบริษัทโนวาร์ทิสในกรณีคำขอสิทธิบัตรยารักษามะเร็งกลิเวคกล่าวว่า “แม้ว่ามาตรา 3 (ง) จะมีประโยชน์ แต่ดูเหมือนสำนักงานตรวจสอบสิทธิบัตรตั้งใจเพิกเฉยต่อการใช้มาตรานี้ … รัฐบาลจำเป็นต้องมีการตรวจสอบอิสระเพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิบัตรที่ออกไปนั้นไม่มีสิทธิบัตรใดที่ไม่ควรให้ไป” ทั้งนี้ตามคำกล่าวของโกรเวอร์ต่อ Intellectual Property Watch

The 29 January 2007 rally of treatment activists and people living with HIV in Delhi demanding Novartis Drop the case against 3(d).

ผลกระทบในระดับสากล

ผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาอินเดียในปี 2013 สามารถเห็นได้ในรายงานของคณะทำงานระดับสูงในการเข้าถึงยาของเลขาธิการสหประชาชาติ เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2016 ได้เสนอแนะให้ประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลกใช้โอกาสในการออกนโยบายอย่างเต็มที่จากข้อ 27 ในความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights: TRIPS) โดยกำหนดคำนิยามที่เข้มงวดว่าอะไรคือการประดิษฐ์ และอะไรคือสิ่งที่ให้สิทธิบัตรได้ ซึ่งจะจำกัดการออกสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุ (evergreening) เพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิบัตรจะได้ออกให้แก่การประดิษฐ์ที่แท้จริงเท่านั้น

ประเทศอัฟริกาใต้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอินเดียได้ร่างนโยบายสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่กำหนดหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดในการออกสิทธิบัตรและให้มีการคัดค้านคำขอสิทธิบัตร

การที่มาตรา 3 (ง) สามารถยืนหยัดต่อการท้าทายในศาลฎีกาของอินเดีย “แสดงให้รัฐบาลของเราเห็นว่าคุณสามารถต้านแรงกดดันจากบริษัทยาและใช้มาตรการเหล่านี้ปกป้องประชาชนของคุณ” ทั้งนี้ล็อตติ รัทเทอร์ ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ขององค์กร Treatment Action Campaign (TAC) ของอัฟริกาใต้กล่าวกับ Intellectual Property Watch  “การที่โนวาร์ทิสขู่ที่จะถอนออกจากอินเดียระหว่างการต่อสู้คดีในศาล แต่กลับขยายการลงทุนหลังมีคำพิพากษา ยังบอกให้รัฐบาลของเราทราบว่าคำขู่ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่ว่าการใช้ความยืดหยุ่นใน TRIPS จะทำให้ต่างชาติมาลงทุนน้อยลงเป็นเรื่องโกหก”

เธอกล่าวเสริมว่า “เมื่อเร็วนี้ TAC ได้ให้การสนับสนุนแก่นักเคลื่อนไหวในโคลอมเบีย เนื่องจากประเทศนี้เป็นประเทศล่าสุดที่เผชิญกับกลเม็ดคำขู่จากโนวาร์ทิสที่ได้พยายามให้มีการเข้าถึงยาให้มากขึ้น”

สำหรับในประเทศไทย องค์กรภาคประชาสังคมได้ใช้มาตรา 3 (ง) นี้เป็นต้นแบบในการรณรงค์ให้รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิบัตรที่เข้มงวดมากขึ้น

 

Image Credits: Delhi Network of Positive People (DNP+)

Share this:

  • Click to share on Twitter (Opens in new window)
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window)
  • Click to share on Facebook (Opens in new window)
  • Click to email this to a friend (Opens in new window)
  • Click to print (Opens in new window)

Related

Intellectual Property Watch may be reached at info@ip-watch.org.

Creative Commons License"ห้าปีหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาอินเดียกรณีโนวาร์ทิส" by Intellectual Property Watch is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 4.0 International License.

Filed Under: Language, Other Tagged With: #nofeat, #nofeed

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  • Email
  • Facebook
  • LinkedIn
  • RSS
  • Twitter
  • Vimeo
My Tweets

IPW News Briefs

Saudis Seek Alternative Energy Partners Through WIPO Green Program

Chinese IP Officials Complete Study Of UK, European IP Law

Perspectives on the US

In US, No Remedies For Growing IP Infringements

US IP Law – Big Developments On The Horizon In 2019

More perspectives on the US...

Supported Series: Civil Society And TRIPS Flexibilities

Civil Society And TRIPS Flexibilities Series – Translations Now Available

The Myth Of IP Incentives For All Nations – Q&A With Carlos Correa

Read the TRIPS flexibilities series...

Paid Content

Interview With Peter Vanderheyden, CEO Of Article One Partners

More paid content...

IP Delegates in Geneva

  • IP Delegates in Geneva
  • Guide to Geneva-based Public Health and IP Organisations

All Story Categories

Other Languages

  • Français
  • Español
  • 中文
  • اللغة العربية

Archives

  • Archives
  • Monthly Reporter

Staff Access

  • Writers

Sign up for free news alerts

This site uses cookies to help give you the best experience on our website. Cookies enable us to collect information that helps us personalise your experience and improve the functionality and performance of our site. By continuing to read our website, we assume you agree to this, otherwise you can adjust your browser settings. Please read our cookie and Privacy Policy. Our Cookies and Privacy Policy

Copyright © 2025 · Global Policy Reporting

loading Cancel
Post was not sent - check your email addresses!
Email check failed, please try again
Sorry, your blog cannot share posts by email.